PFAS, PFOA, PFOS แตกต่างกันอย่างไร?

เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง

Concept: PFAS

Per- and Polyfluoroalkyl Substances (PFAS) คือกลุ่มของสารเคมีอินทรีย์ฟลูออริเนตสังเคราะห์ที่ครอบคลุมสารประกอบหลากหลายชนิดมากกว่าหมื่นชนิด* เช่น PFSA, PFCA, PFOA, PFOS, PFBS และอื่น ๆ อีกมากมาย สาร PFAS มีคุณสมบัติโดดเด่นในการทนน้ำมัน ทนน้ำ ทนคราบสกปรก ทนรังสี รวมถึงมีค่าการนำความร้อนที่ดีเยี่ยม ต่ำในสภาวะสุญญากาศ ค่าคงที่ไดอิเล็กตริกต่ำ และดัชนีการหักเหของแสงต่ำ ซึ่งทำให้สารเหล่านี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในสิ่งทอ วัสดุฉนวน โฟมดับเพลิง และอื่น ๆ อีกมากมาย ปัจจุบัน PFAS ถูกใช้งานในอุตสาหกรรมหลายสิบประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ ยานยนต์ อากาศยาน และเทคโนโลยีชีวภาพ

ในชีวิตประจำวัน สามารถพบ PFAS ได้ในสารเคลือบกันติด เช่น PTFE ที่ใช้ในเครื่องครัว และเมื่อใช้กับบรรจุภัณฑ์อาหารทอด PFAS จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำมันซึมผ่านถุงกระดาษหรือกล่อง ทำให้มือไม่เลอะเทอะ นอกจากนี้ PFAS ยังให้คุณสมบัติป้องกันคราบได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อใช้กับเสื้อผ้า—แบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้าชั้นนำหลายแบรนด์ใช้สารเคลือบ PFAS เพื่อให้เสื้อแจ็คเก็ตและรองเท้ามีความสามารถในการระบายอากาศ ให้ความอบอุ่น กันน้ำ และกันคราบสกปรก

PFAS ถูกนิยามว่าเป็น “สารฟลูออริเนตที่มีอะตอมคาร์บอนเมทิลหรือเมทิลีนอย่างน้อยหนึ่งอะตอมที่ฟลูออริเนตเต็มที่ (กล่าวคือ คาร์บอนที่ไม่มีไฮโดรเจน คลอรีน โบรมีน หรือไอโอดีนเกาะอยู่เลย และถูกแทนที่ด้วยฟลูออรีนทั้งหมด)” โดยในทางปฏิบัติ สารเคมีใด ๆ ที่มีหมู่เพอร์ฟลูออโรเมทิล (–CF₃) หรือเพอร์ฟลูออโรเมทิลีน (–CF₂–) อย่างน้อยหนึ่งหมู่ จะถือว่าเป็น PFAS

คำจำกัดความนี้จัดทำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งร่วมกับสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (US EPA) ได้จัดจำแนกสารเคมีนับพันรายการ* ให้เป็นสารในกลุ่ม PFAS

กฎระเบียบใหม่ในรัฐต่าง ๆ เช่น แคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ได้ให้คำจำกัดความ PFAS อย่างกว้างขึ้นว่าเป็น “สารเคมีอินทรีย์ที่มีฟลูออรีน ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนที่ถูกฟลูออริเนตเต็มที่อย่างน้อยหนึ่งอะตอม”

ในปัจจุบัน คำจำกัดความของ PFAS ที่ใช้โดย OECD, สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (US EPA) และแต่ละรัฐในสหรัฐฯ ยังไม่มีความสอดคล้องกันโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การอภิปรายในภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานกำกับดูแลมักยึดตามคำจำกัดความที่กว้างกว่า โดยยอมรับว่าสารในกลุ่ม PFAS ครอบคลุมสารเคมีมากกว่าหมื่นชนิด

กฎระเบียบใหม่ในรัฐต่าง ๆ เช่น แคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ได้ให้คำจำกัดความ PFAS อย่างกว้างขึ้นว่าเป็น “สารเคมีอินทรีย์ที่มีฟลูออรีน ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนที่ถูกฟลูออริเนตเต็มอย่างน้อยหนึ่งอะตอม”

PFAS เป็นกลุ่มสารเคมีขนาดใหญ่

- ในแผนภาพนี้ คุณจะเห็นการจัดประเภท PFAS แบบง่าย โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ ฟลูออโรโพลิเมอร์ (Fluoropolymers) และ นอน-โพลิเมอร์ (Non-polymers)
  กลุ่มฟลูออโรโพลิเมอร์ประกอบด้วยสารที่เป็นที่รู้จักทั่วไป เช่น PTFE, PVDF, และ E-CTFE
  ในขณะที่กลุ่มนอน-โพลิเมอร์ประกอบด้วย PFOA, PFOS และสารอื่น ๆ อีกนับหมื่นชนิด
- สัญลักษณ์ “<50” ที่อยู่ในฝั่งฟลูอโรโพลิเมอร์ หมายถึง สารในกลุ่มนี้ (เช่น PTFE, PVDF, E-CTFE) ปัจจุบันมีข้อมูลว่ามีจำนวนน้อยกว่า 50 ชนิด หรือมีข้อมูลด้านพิษวิทยาและกฎระเบียบที่จำกัดมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าสารกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่ำ และมักตรวจพบในสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
- ส่วนสัญลักษณ์ “>10,000” ที่อยู่ในฝั่งนอน-โพลิเมอร์ หมายถึง กลุ่ม PFAS ที่ไม่ใช่โพลิเมอร์ (เช่น PFOA, PFOS) ซึ่งทราบว่ามีมากกว่า 10,000 ชนิด ถูกตรวจพบแพร่หลายในสิ่งแวดล้อม และมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับความเป็นพิษ การสะสมในสิ่งมีชีวิต และความคงทน ส่งผลให้สารกลุ่มนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของข้อบังคับและการควบคุมทั่วโลก

PFAS เป็นอันตรายหรือไม่?

จากผลการวิจัยใหม่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พบว่าสารหลายชนิดในกลุ่ม PFAS เช่น PFOA และ PFOS อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว ได้แก่ ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญ การเพิ่มขึ้นของระดับคอเลสเตอรอล ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน และอาจเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็ง** ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ PFAS (แม้ในระดับต่ำมาก) และระยะเวลาที่ร่างกายได้รับสารเหล่านี้

PFAS มักถูกเรียกว่า “สารเคมีตลอดกาล” (Forever Chemicals) เนื่องจากมีพันธะระหว่างคาร์บอน-ฟลูออรีน ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธะเดี่ยวที่แข็งแรงที่สุดในทางเคมี ทำให้สารเหล่านี้มีความทนทานต่อการย่อยสลาย และคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกจึงเริ่มเข้มงวดกับการควบคุมสาร PFAS ทุกรูปแบบ ไม่จำกัดเพียงแค่บางกลุ่มย่อยหรือสารประกอบรายชนิดอีกต่อไป

น้ำมันหล่อลื่นที่ปราศจาก PFAS (PFAS-Free Lubricants)

เช่นเดียวกับข้อบังคับ Restriction of Hazardous Substances (RoHS) ที่เป็นที่รู้จักกันดี ข้อจำกัดเกี่ยวกับ PFAS อาจเริ่มมีผลบังคับใช้ในอุตสาหกรรมของคุณในอนาคต และเมื่อถึงเวลานั้น ผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน PFAS-Free ซึ่งหมายถึงไม่มีการตรวจพบ PFAS (non-detectable PFAS or N.D. PFAS)

ตัวอย่างเช่น ศูนย์ข้อมูลสารพิษในบรรจุภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกา (Toxics in Packaging Clearinghouse, TPCH) ได้กำหนดให้ห้ามมี PFAS ในวัสดุบรรจุภัณฑ์ และรัฐเมนของสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายเริ่มทยอยยกเลิกการใช้ PFAS ตั้งแต่ปี 2023 พร้อมประกาศห้ามผลิตภัณฑ์ที่มี PFAS อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2030

เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตภายในประเทศ (รวมถึงการนำเข้า) การใช้งาน การสัมผัสในที่ทำงาน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ ตลอดจนการจัดการของเสียของ PFAS สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) ได้ออกกฎระเบียบการรายงานและจัดเก็บข้อมูล PFAS (40 CFR Part 705) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2023 โดยกำหนดให้บริษัทใดก็ตามที่ผลิตหรือนำเข้า PFAS หรือผลิตภัณฑ์ที่มี PFAS ในสหรัฐฯ ต้องจัดทำรายงานครั้งเดียวสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ PFAS ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2011 ถึง 23 พฤศจิกายน 2023 พร้อมระบุรายละเอียดสาร PFAS ที่ใช้หรือผลิตในแต่ละปี

สำหรับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าทั่วไป กำหนดระยะเวลาการรายงานคือระหว่างวันที่ 12 พฤศจิกายน 2024 ถึง 8 พฤษภาคม 2025 (รวมถึงหน่วยวิจัยและพัฒนาที่ใช้ PFAS ≤10 กิโลกรัม/ปี เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น) ส่วนผู้นำเข้าสินค้าสำเร็จรูป (articles) จะได้รับการขยายระยะเวลาการรายงานออกไปถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 กฎนี้ยังครอบคลุมถึงธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหากเป็นกรณีรายได้ต่อปีไม่เกิน 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะต้องมีปริมาณ PFAS ที่ผลิตหรือนำเข้าไม่เกิน 100,000 ปอนด์ต่อปี โดยสามารถใช้วิธีรายงานแบบ’ง่ายได้ และต้องดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ EPA CDX: https://cdx.epa.gov/

นอกจากนี้ บริษัทรายใหญ่บางแห่งยังมีนโยบายควบคุม PFAS ที่เข้มงวดกว่ากฎหมาย ตัวอย่างเช่น Apple กำหนดให้ซัพพลายเออร์ต้องเปิดเผยหรือห้ามใช้สารที่มีโครงสร้าง “–CnF₂n–” เกินเกณฑ์ ppm ที่กำหนด และ IKEA ก็ประกาศห้ามใช้สารเคลือบที่มี PFAS กับผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ของตน

Brugarolas มีผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นที่ปราศจาก PFAS ให้เลือกหลากหลายรุ่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของสหรัฐฯ (รวมถึงรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเมน) และกฎหมายสหภาพยุโรป หากคุณไม่แน่ใจว่าน้ำมันหล่อลื่นที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบันมี PFAS หรือไม่ โปรดติดต่อวิศวกรเทคนิคของเราเพื่อรับคำปรึกษาและประเมินเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย